วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

tast_nongnoy

กรุณาดาวน์โหลดไฟล์Googleลงคอมพิวเตอร์ของท่าน

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

แก๊สโซฮอล์ 95 (GASSOHOL)




คำว่า “แก๊สโซฮอล์” มาจากคำว่า GASSOLINE (แก๊สโซลีน) บวกกับคำว่า ALGOHOL (แอลกอฮอล์) ซึ่งนำ 2 คำแรกของแก๊สโซลีน+คำสุดท้ายของแอลกอฮอล์ ก็จะได้ แก๊สโซฮอล์ (GASSOHOL)

สำหรับประเทศไทย ณ ปัจจุบัน (พ.ศ.2550) ได้ใช้แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ได้มาจากใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 (พิเศษ) จำนวน 90% ผสมกับ เอทานอล 10% จึงได้ E10 นั่นเอง อนาคตสำหรับประเทศไทยในปี พ.ศ.2551 จะมี E20 ใช้ในประเทศไทย หลายคนยังวิตกว่าสามารถใช้งานเหมือนออกเทน 95 หรือ 91 ได้หรือไม่ บางคนก็บอกว่าใช้แล้วไม่แตกต่าง บ้างก็ว่าแตกต่าง แต่อย่างน้อยก็มีข้อดีมากกว่าข้อเสียอยู่ดี เช่น

ลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ
ลดการขาดดุลการค้า ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ
สนับสนุน และใช้ประโยชน์ต่อพืชผลทางการเกษตร
ประหยัดเงินค่าเติมน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะแก๊สโซฮอล์ ถูกกว่า (ประมาณ 4 บาท/ลิตร ธันวาคม 2550)
ใช้แล้วช่วยลดมลพิษไอเสียในอากาศ
ช่วยเรื่องโลกร้อน ลดก๊าซเรือนกระจก
สามารถปลูกทดแทนได้ อย่างต่อเนื่องไม่มีวันหมด
ข้อดีที่กล่าวมานั้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ และสิ่งแวดล้อม หลายๆประเทศในโลก ได้ใช้แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ได้แก่ สหภาพยุโรป, อินเดีย, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, แคนนาดา, โคลัมเบีย, ปารากวัย, เปรู, แอฟฟิกา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และประเทศไทย ส่วนประเทศที่ใช้เอทานอล มากกว่า 10% ได้แก่ บราซิล, สหรัฐอเมริกา, แคนนาดา และสวีเดน

ประเทศที่มีการยกเลิกสารตะกั่วในน้ำมันเบนซิน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สารเพิ่มค่าออกเทนชนิดอื่นมาทดแทน ซึ่งสารที่สามารถนำมาใช้ได้ และไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ คือ สาร MTBE และ เอทานอล บริษัท รถยนต์ได้ทำการทดสอบแล้ว ไม่ส่งผลกระทบต่อท่อยาง หรือ พลาสติก ได้มีการพัฒนาวัสดุที่ใช้ในระบบฉีดเชื้อเพลิงให้สามารถทนต่อสาร MTBE และ เอทานอลได้ ดังนั้นผู้ผลิตรถยนต์จึงได้ให้ความมั่นใจว่า รถยนต์ที่ผลิตมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 เป็นต้นมา สามารถใช้น้ำมันเบนซินที่ผสมเอทานอลได้ ในประเทศไทยได้ใช้น้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2544

ข้อมูล การทดสอบแก๊สโซฮอล์ 95 เปรียบเทียบกับ น้ำมันเบนซิน 95 ของ ปตท. ดังนี้
1. จากการประเมินด้านสมรรถนะและมลพิษทางไอเสีย มลพิษไอเสีย, คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ลดลงประมาณ 20%
อัตราการสิ้นเปลืองของน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1-2 %
กำลังรถยนต์ และอัตราเร่งไม่แตกต่างกัน
การเร่งแซง แก๊สโซฮอล์ อาจจะดีกว่าเบนซินเล็กน้อย;
2. ทดสอบโดยการขับภาคสนาม ระยะ 100,000 กิโลเมตร

ความสะอาดของเครื่องยนต์อยู่ในเกณฑ์ดี
ผลการวิเคราะห์ของน้ำมันเครื่องใช้งานทุกๆ 10,000 กิโลเมตร อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การประเมินชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หลังวิ่งครบ 100,000 กิโลเมตร ไม่พบความผิดปกติด้านการสึกหรอของเครื่องยนต์ เช่น หัวฉีด, ท่อยาง, โอริง และพลาสติก
และนี่ก็เป็นผลของการทดสอบของ บริษัท ปตท. หลังจากการใช้ แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง

สำหรับโครงการ แก๊สโซฮอล์ 95 (E20) ที่จะมีใช้ในประเทศไทยถือว่าเป็นเรื่องใหม่ ขนาดปัจจุบันที่มีจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่พอสมควร การที่เรียกว่า E20 หมายความว่าใช้น้ำมันเบนซิน 91 พิเศษ จำนวน 80% ผสมกับเอทานอล จำนวน 20% = 100% จึงได้ E20 นั่นเอง ตามที่มีข่าวทางการประกาศว่า ผู้ผลิตรถยนต์รายใด สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20 ได้ สามารถลดภาษีอีก 5% รถยนต์หลายยี่ห้อก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงก็จะต้องเตรียมความพร้อมไปพร้อมๆ กัน ก็ต้องรอต่อไปว่าเครื่องยนต์เก่า สามารถรองรับกับ E20 ได้หรือไม่ คงจะต้องมีการใช้งานหรือทดสอบระยะหนึ่ง ว่าจะเป็นอย่างไร ดังนั้น คงต้องรอผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องประกาศอย่างเป็นทางการ


ที่มา:http://www.shell.com/home/content/thailand-th/shell_for_motorists/fuels/gasohol/gasohol_0830.html

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552


แก๊สโซฮอล์ 91 VS เบนซิน 91

ยังคงเป็นข้อสงสัยอันดับต้นๆ ในแวดวงยานยนต์เมืองไทยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของน้ำมันก๊าซโซฮอล์ ซึ่งกำลังจะมาแทนที่น้ำมันเบนซิน ด้วยการประกาศ(แกมบังคับ)ของรัฐบาล ที่จะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินชนิด 95 คงเหลือแต่เพียงเบนซิน 91 เท่านั้นที่ยังคงจำหน่ายอยู่

เมื่อเอ่ยถึงเบนซิน 91 ก็จะต้องนึกถึงน้ำมันที่อาจจะมาแทนที่เบนซิน 91 ในอนาคต เหมือนที่กำลังเกิดกับเบนซิน 95 นั่นก็คือ แก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งปัจจุบันมีเพียง “บางจาก” เจ้าเดียวเท่านั้น ที่ผลิตและจำหน่ายอยู่ โดยครั้งนี้ “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ได้รับเชิญให้เข้าร่วมทดสอบค้นหาความแตกต่างในการขับขี่ของ แก๊สโซฮอล์ 91 กับ เบนซิน 91

สำหรับการทดสอบเป็นการร่วมเดินทางไปกับขบวนแรลลี่ของบางจาก โดยใช้รถโตโยต้า โซลูน่า วิออส 1.5เจ ที่บางจากเตรียมไว้ให้ในการทดสอบครั้งนี้ ซึงมีจำนวน 4 คันแบ่งเป็นเติมแก๊สโซฮอล์ 91 จำนวน 2 คันและเติมเบนซิน 91 อีก ทั้งนี้ขาไปเราขับคันที่เติมแก๊สโซฮอล์ 91 ส่วนขากลับเราขับเบนซิน 91

ความรู้สึกจากการขับทั้งสองคัน เราไม่เห็นถึงความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่ง หรือความเร็วสูงสุดที่เราลองในวันนั้นได้ถึง 170 กม./ชม.แบบสบายๆ และเมื่อได้สอบถามกับสื่อมวลชนท่านอื่นๆ ที่เข้าร่วมทดสอบต่างก็เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง โดยมีบางท่านให้เหตุผลว่า ถึงความรู้สึกไม่แตกต่างว่ามาจากการที่เป็นรถใหม่ สมรรถนะของเครื่องยนต์ยังดีอยู่ ซึ่งถ้าเป็นรถที่เก่าแล้วเราอาจจะสามารถสัมผัสถึงความแตกต่างได้ (แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีรถที่เก่าขนาดนั้น)

ด้านอัตราสิ้นเปลือง คันของเราได้ขับประกบคู่ชนิดไปไหนไปกัน จอดไหนจอดด้วยกับคันที่ใช้เบนซิน 91 ซึ่งขับโดยคุณประสงค์ แห่งเดลินิวส์ ผลปรากฏว่า คันของเราใช้ระยะทางวิ่งทั้งหมด 184 กม. เติมน้ำมัน(แก๊สโซฮอล์ 91) จำนวน 12.02 ลิตร คิดเป็นอัตราสิ้นเปลือง 15.31 กม./ลิตร

ขณะที่คันของคุณประสงค์ ใช้ระยะทางวิ่งทั้งหมด 184 กม.เท่ากัน (ถ้าไม่เท่ากันสิ แปลก เพราะวิ่งเกาะติดกันตลอดเส้นทาง) เติมน้ำมัน (เบนซิน 91) จำนวน 11.73 ลิตร คิดเป็นอัตราสิ้นเปลือง 15.67 กม./ลิตร เรียกได้ว่า เบนซินประหยัดกว่านิดหน่อย แต่ถ้าคิดเป็นบาท/กม. แล้วละก็ แก๊สโซฮอล์ 91 จะมีอัตราที่ถูกว่าเบนซิน 91 อยู่นิดหน่อย คือ เบนซิน 91 1.56 บาท/กม. ส่วนแก๊สโซฮอล์ 91 1.53 บาท/กม. เนื่องจากราคาของแก๊สโซฮอล์ 91 (23.49 บาท) ถูกกว่า เบนซิน 91 (24.49 บาท) อยู่ 1 บาท(ราคาขณะทดสอบ)

ส่วนอีก 2 คันไม่ได้วิ่งประกบกันเหมือนเรา คันแรกเติมเบนซิน 91 ใช้ระยะทางวิ่ง 219 กม. เติมน้ำมันจำนวน 12.73 ลิตร คิดเป็นอัตราสิ้นเปลือง 17.20 กม./ลิตร (1.42 บาท/กม.) คันที่สองเติมแก๊สโซฮอล์ 91 ใช้ระยะทางวิ่ง 196 กม. เติมน้ำมันจำนวน 9.54 ลิตร คิดเป็นอัตราสิ้นเปลือง 20.55 กม./ลิตร (1.14 บาท/กม.) ซึ่งเราไม่ทราบว่าเขาวิ่งอย่างไรถึงสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีถึงเพียงนี้ สำหรับผลทดสอบของบางจากเองได้ใกล้เคียงกับคันของเราที่วิ่งประกบกับคันของคุณประสงค์

สรุปว่า ทั้งในด้านของประสิทธิภาพและอัตราความสิ้นเปลืองของแก๊สโซฮอล์ 91 กับเบนซิน 91 นั้นเราแทบไม่เห็นความแตกต่าง แต่จะมีจุดต่างที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ ตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบที่ลดลงหากเราหันมาใช้แก๊สโซฮอล์ 91 แทน เบนซิน 91 ซึ่งจะส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศของเราดีขึ้นและถือ เป็นการช่วยเศรษฐกิจของชาติในอีกด้านหนึ่งด้วย


ที่มา:http://www.worldusedcar.com/thai/gasohol2

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552




‘โซฮอล์’ เชื้อเพลิงอุดมประโยชน์


แก๊สโซฮอล์ เป็นนํ้ามันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่าง เอทานอล หรือที่เรียกว่า
เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5 % ผสมกับนํ้ามันเบนซีนไร้สารตะกั่วออกเทน
91 ในอัตราส่วนนํ้ามันเบนซิน 9 ส่วน เอทานอล 1 ส่วน จะได้แก๊สโซฮอล์ที่มีคุณสมบัติ เหมือนนํ้า
มันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 95 สามารถใช้ได้กับรถยนต์ที่มีระบบหัวฉีด แก๊สโซฮอล์มีคุณสมบัติ
อยูใ่ นเกณฑ์ตามข้อกำ หนดมาตรฐานได้แก่ ค่าออกเทนไม่ต่ำ กว่า 95.0 ซึ่งค่าออกเทนของน้ำ มันเบนซิน
จะบ่งบอกถึงคุณภาพในการต้านทานการน็อคของเครื่องยนต์ และมีค่าความดันซึ่งจะมีผลต่อการสตาร์ท
เครื่องยนต์ไม่สูงกว่า 65 kpa แก๊สโซฮอล์จะมีคุณสมบัติเหมือนนํ้ามันเบนซินออกเทน 95 ทุกประการ
ยกเว้น สาร Oxygenate Compound ที่กำ หนดให้มีการเติมในนํ้ามันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 95 ใน
ปริมาณ 5.5 – 11 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโดยทั่วไปในนํ้ามันเบนซินออกเทน 95 ที่ใช้ในตลาดปัจจุบันจะเติม
MTBE (Methyl Tertiaryl Butyl Ether) แต่ในแก๊สโซฮอล์จะใช้เอทิลแอลกอฮอล์ 99.5 % ทดแทนใน
ปริมาณ 10-11 % ซึ่งจะยังคงให้คุณสมบัติในการใช้งานกับเครื่องยนต์เหมือนกันกับใช้นํ้ามันเบนซิน
ออกเทน 95 ทุกประการ

ความสำคัญของแก๊สโซฮอล์

ประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำ เข้านํ้ามันจากต่างประเทศเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อราคานํ้ามันผัน
ผวน ย่อมส่งผลต่อเม็ดเงินที่ประเทศต้องจ่ายเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาศักยภาพการผลิตพลังงานทดแทน
โดยเฉพาะแอลกอฮอล์ที่ได้จากพืชแล้ว ประเทศไทยก็ถือได้ว่ามีศักยภาพในการผลิตทดแทน เนื่องจาก
มีแหล่งวัตถุดิบจากพืชผลทางการเกษตรจำ นวนมาก เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำ ปะหลัง อ้อย ข้าวฟ่าง
หวาน เป็นต้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาเชื้อเพลิงทดแทนขึ้น เพื่อลดการนำ เข้านํ้ามัน ขณะเดียวกัน
ยังแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกตํ่า ทำ ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
เมื่อมีการใช้แก๊สโซฮอล์แล้ว ยังสามารถลดการนำ เข้าสาร MTBE (Methyl Tertiaryl Butyl
Ether) ซึ่งเป็นสารเพิ่มปริมาณออกซิเจนเพื่อเพิ่มค่าออกเทนจากเบนซิน 91 เป็นเบนซิน 95 ได้อีกด้วย
ที่ผ่านมาประเทศไทยต้องนำ เข้าสาร MTBE (Methyl Tertiaryl Butyl Ether) ถึงปีละ 3,000 ล้าน
บาท ขณะที่แก๊สโซฮอล์ใช้เอทานอลเป็นสารเพิ่มปริมาณออกซิเจนและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เหมือนกับ MTBE (Methyl Tertiaryl Butyl Ether) ซึ่งย่อยสลายยากจากสถานการณ์ล่าสุดของ
ประเทศไทยได้เริ่มประกาศยกเลิกใช้สาร MTBE ให้หมดไปภายใน 2550
นอกจากนี้แก๊สโซฮอล์จะทำ ให้ปริมาณสารที่ก่อให้เกิดมลพิษ เช่น ไฮโดรคาร์บอนและคาร์บอน
มอนอกไซด์ลดลง ส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้น ลดปัญหาภาวะโลกร้อน (Green House Effect )
เนื่องจากเอทานอลที่ผสมอยู่ในแก๊สโซฮอล์นั้นมีออกซิเจนอยู่ด้วยจึงช่วยทำ ให้การเผาไหม้ของเครื่อง
ยนต์สมบูรณ์ขึ้น ส่งผลให้คาร์บอนมอนอกไซด์ที่ออกจากท่อไอเสียรถยนต์ลดลงเกือบ 40 % และนํ้า
มันผสมแอลกอฮอล์เป็นนํ้ามันที่เบา เกิดการสันดาปได้รวดเร็ว จึงทำ ให้ไฮโดรคาร์บอนจากเบนซินที่
เหลือจากการเผาไหม้ลดลงประมาณ 20 %
ผลดีต่อเครื่องยนต์ แก๊สโซฮอล์ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้เช่นเดียวกันกับนํ้ามันเบนซินออก
เทน 95 และไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะการใช้งาน ทั้งยังมีอัตราการเร่งของเครื่องยนต์ดีกว่านํ้ามัน
เบนซิน 95 ผูใ้ ช้ไม่จำ เป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำ เนินการปรับแต่งเครื่องยนต์ เพราะสามารถเติม
ผสมกับนํ้ามันที่เหลืออยู่ในถังได้เลย โดยไม่ต้องรอให้นํ้ามันในถังหมด ซึ่งสามารถช่วยลดการนำ เข้า
นํ้ามันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ลดการขาดดุลทางการค้า สามารถใช้ประโยชน์จากพืชผลทางการ
เกษตรได้สูงสุดและยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร อีกทั้งยังทำ ให้เครื่องยนต์มีการเผาไหม้ที่ดีขึ้น
ทำ ให้ช่วยลดมลพิษไอเสียทางอากาศและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยสามารถลดปริมาณไฮโดรคาร์บอน
และคาร์บอนมอนอกไซด์ลง 20-25 % ทำ ให้ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของประชาชนใน
ประเทศ ทำ ให้เกิดการลงทุนที่หลากหลายทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม
ส่วนเอทานอลซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำ คัญของแก๊สโซฮอล์ ทางกระทรวงพลังงานได้ออกมายืนยัน
ว่า ประเทศไทยมีกำ ลังการผลิตเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชน โดยคาดว่าต้นปี 2548
กำ ลังการผลิตเอทานอลจะเพิ่มเป็น 225,000 ลิตรต่อวันและจะเพิ่มเป็น 1 ล้านลิตรต่อวันภายในปี
2549 และขณะนี้กระทรวงพลังงานกำ ลังศึกษาและจัดทำ คุณลักษณะของแก๊สโซฮอล์ในนํ้ามันเบนซิน
ออกเทน 91 เพื่อให้เป็นทางเลือกรองรับการใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มเติมในอนาคตสำ หรับประชาชนต่อไป
จากภาวะนํ้ามันแพงในปัจจุบันกระทรวงพลังงานได้ดำ เนินการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์อย่าง
จริงจัง โดยได้ประกาศราคาจำ หน่ายแก๊สโซฮอล์ให้มีราคาถูกกว่านํ้ามันเบนซินออกเทน 95 เพื่อเป็น
ทางเลือกสำ คัญในการประหยัดค่านํ้ามันของประชาชน ลดการนำ เข้าสาร MTBE รวมทั้งเป็นมิตรต่อ
สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้แก๊สโซฮอล์สามารถเติมรถยนต์ได้โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ ดังนั้นจึงได้ร่วม
กับผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชั้นนำ ของโลกเพื่อรับประกันว่ารถส่วนใหญ่สามารถใช้นํ้ามันแก๊สโซฮอล์ได้
ด้านสถานีบริการนํ้ามันที่จำ หน่ายแก๊สโซฮอล์ในขณะนี้มีอยู่กว่า 200 แห่ง เป็นสถานีบริการของนํ้ามัน
ปตท. 89 สถานี บางจาก 106 สถานี และเชลล์ 9 สถานี รวมทั้งสิ้น 204 สถานี เชื่อว่าอีกหลาย
บริษัท ฯ จะต้องเร่งสร้างสถานีจำ หน่ายแก๊สโซฮอล์ให้กับประชาชน
ด้านการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ( มหาชน ) จำ กัด ระบุว่า ปตท.กำ ลังวางแผนขยาย
ปั๊มนํ้ามันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งต้องการให้รัฐบาลประกาศราคาใหม่โดยคาดว่าประชาชนจะหันมานิยมใช้เพิ่ม
ขึ้น แต่ในส่วนของโรงกลั่นนํ้ามันนั้นยังประสบปัญหาแบกรับภาระแทนประชาชนคือ ผลิตนํ้ามัน
พิเศษเพื่อมาผสมกับเอทานอล ต้นทุนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 20 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งโรงกลั่นยัง
สามารถรับภาระได้ในช่วงต้น เนื่องจากนำ มาเฉลี่ยกับรายได้ค่าการกลั่นที่สูง แต่คาดว่าในอนาคตรัฐ
บาลคงจะต้องมีการกำ หนดแนวทางเพื่อผ่อนคลายภาระของโรงกลั่นนํ้ามัน
จากที่มีการวิเคราะห์กันว่านํ้ามันซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักจะหมดไปจากโลกอีก 50 ปีข้างหน้า
เนื่องจากมีรถยนต์ทั่วโลกประมาณ 700 ล้านคันและคาดว่าในปี 2563 จะมีรถยนต์ที่ออกมาใช้งาน
มากถึง 1,500 ล้านคัน ทำ ให้สัดส่วนการใช้นํ้ามันสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นทางภาครัฐต้องมีเชื้อเพลิง
ทางเลือกอื่นมารองรับ และที่สำ คัญไปกว่านั้นผู้ประกอบการรถยนต์ทั้งหลายก็ต้องรู้จักพัฒนา
เทคโนโลยีใหม่สำ หรับรองรับเชื้อเพลิงอื่นที่ไม่ใช่นํ้ามันด้วย
ที่มา : http://www.mesutstudent.com/board/showthread.php?tid=152
http://www.vcharkarn.com/varticle/16376
http://www.tei.or.th/songkhlalake/database/knowledge/gasohol.pdf